วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

นิราศทุ่งทิวไพร



นิราศทุ่งทิวไพร
พอตะวันเบี่ยงบ่ายที่ปลายฟ้า
จากบ้านเที่ยวมาตามถนน
แดดร้อนระอุอย่างไฟลน
ต้องเลี่ยงหลบพ้น..พึ่งเงา..ไม้บัง

นกน้อยบินลอยเรียงเคียงคู่
เดียวดายดูไร้รักที่จักหวัง
ทนอยู่เปล่าเปลี่ยวเพียงลำพัง
ก็ยังขาดเขิน..เกินคิดไปมีใคร

ใบไม้พลิ้วหวิวหวือโขยกระโชก
กิ่งไม้โบยโบกระเนนไหว
ต้นจิกรังเพิ่งผลัดระบัดใบ
สีสันสดใสตามท้องทุ่งนา

ต้นไผ่ไหวเอนตามลมล่อง
เสียงเสียดสีลำปล้องดั่งภาษา
ความเพลิดเพลินตามใจจินตนา
ฟังประหนึ่งว่า..คำถ้อย..คนรำพัน

สองฝั่งทางพงหญ้าเหี่ยวแห้ง
เฉาวายลงตายแล้งสิ้นวสันต์
ดั่งคนเศร้าโสกาสุดจาบรรย์
คอยรักผูกพัน..ปลอบเล้า..ประโลมทรวง

                                          




แม่ไก่คุ้ยหญ้าจิกหาเหยื่อ
กับลูกน้อยคอยเอื้อเฟื้อห่วงหวง
ร้องกุ๊กกุ๊กเรียกลูกทั้งปวง
ลูกฟังดั่งรู้ล่วงวิ่งกรูคุ้ยตาม

ดูไก่ดั่งสอนเรารู้ว่า
ปัญหาอุปสัคขวากหนาม
คือสิ่งเร้าใจให้พยายาม
ขุดคุ้ยด้วยความ..มุ่งมั่น..อดทน

วันหนึ่งคงพบสิ่งมุ่งหวัง
สมดั่งตั้งใจได้สักหน
แม้ทุกข์โศกเศร้าเข้าผจญ
ขวนขวายดิ้นรน..ต่อสู้..ต่อไป




ถึงทางแยกเขตุนาของตาหลวง
เดินล่วงชมเพลินลงเนินห้วยไร่
ป่าไผ่สูงสล้างกิ่งแกว่งไกว
ไม่มีใบกิ่งกางเหมือนก้างปลา

เงาไม้คลุมทางเย็นร่มรื่น
ต้นก้ามปูแผ่ยื่นกิ่งสาขา
ต้นประดู่ผลิใบงามอร่ามตา
ต้นหนามป่ากิ่งพันกันรุงรัง

แสยงใจใคร่คิดบุกรุก
จะไม่ทุกข์ออกมาแล้วอย่าหวัง
เหมือนรักชอบตอบใครไม่ระวัง
เมื่อคราวพลั้งพลาดรักหนักเจียนตาย

กระปอมน้อยต้อยต้อยใต่กิ่งไม้
ครั้นพอเราก้าวใกล้ผันผาย
ผงกหัวหงึกหงึกเหมือนท้าทาย
คล้ายคล้ายเหมือนอยากจะลองดี

พอเราเอาจริงกระโจนจาก
วิ่งควากควากเข้าป่าหลบหนี
ครั้นตามไล่ล่าหมายราวี
ตกใจเปลี่ยนสี..หลีกเร้น..อำพรางตัว

วิสัยสัตว์ยังรู้รักชีวิต
มีใครคิดทำลายหมายหัว
ด้วยด้อยทางสู้ยังรู้กลัว
พาตัวหลบซ่อน..พ้นจาก..เภทภัย

แต่มนุษย์ชื่อว่าสุดประเสริฐ
ความล้ำเลิศนี้ควรรักษาไว้
อย่าประมาทพาใครต่อใคร
เจ็บทั้งกายใจ..ไร้ป้องกัน




คิดถึงเธอ



1.ริมหน้าต่าง

ฝนหม่นมืดเมฆหนาบนฟ้ากว้าง
ฉันมองไปอย่างอ้างว้างและเงียบเหงา
ละอองฝนสาดกระเซ็นเย็นลมเล้า
ท่ามเมฆหมอกสีดำเทาอันเหว่ว้า

ความเยียบเย็นและเหน็บหนาวซ้ำเศร้าสร้อย
หวนละห้อยในเล่ห์เสน่หา
ที่พลัดพรากจากไปในกาลเวลา
ร้อยทิวาพันทิวา...ยังคะนึง




2.ในห้อง

เศษกระดาษที่เพียรเขียนครึ่งตระกล้า
ฉันบันทึกถึงเธอว่าฉันคิดถึง
แต่มิอาจแทนรู้สึกที่ตราตรึง
มือฉันจึงบี้...บี้...ขยี้...ทิ้ง

ในห้องที่เหงาเงียบไร้เสียงขับกล่อม
ไม่มีกลิ่นหอมหวลความเพริศพริ้ง
ไม่มีเพื่อนไม่มีใครในความจริง
ฉันพักพิงในความโดดเดี่ยว...และเดียวดาย



3.คิดถึง

ฉันเห็นเธอในความรู้สึกนึกคิด
แต่มืดมิดดวงใจไม่อาจหมาย
รักหนหลังที่มันพังทลาย
เหมือนดั่งปราสาททรายมิคงทน

ใครเจ็บกว่ากัน...ใครกันรู้สึก
ยิ่งรำลึกยิ่งปวดร้าวขึ้นอีกหน
แต่ฉันมิอาจรักใครได้อีกคน
จึงคิดวกวนคร่ำครวญ...ถึงแต่เธอ






4.หักใจ

ฉันไม่อยากมองไกลไปฟากฟ้า
จึงกลับหน้าเข้าห้องคราวหมองเหม่อ
ถึงคิดไขว่คว้าไปอาจไม่เจอ
รักคงเพียงความพร่ำเพ้อของฉันเอง








วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

กลอนเพราะๆ



ก้าวทุกก้าวสาวไปให้สุดถึง
สู่ที่ซึ่งวาดหวังอยู่ข้างหน้า
แม้แวดล้อมเรียงรายเหยียดสายตา
อย่าไปสนหากแม้นกล้าจะฝ่าฟัน

ณ จุดหมายปลายทางนั้นวางรอ
เพียงอย่าท้อหมดไฟความใฝ่ฝัน
ทุกสิ่งอย่างจะสร้างไว้เผื่อใครกัน
มิใช่เพื่อปลุกปั้นฝันเราเอง

เสียงดนตรีปลุกโลมโหมระทึก
สร้างรู้สึกในแรงจิตรให้รีบเร่ง
เพื่อทุกก้าวพร้อมเพรียงในเสียงเพลง
ด้วยความเก่งความกล้ามิล้ารอ

อุปสรรคหนักหนาสักคราครั้ง
นั้นเพียงรั้งรอจิตอย่าคิดท้อ
จงพร้อมพลิกพลาดหมายให้เกิดก่อ
เป็นพลังเติมต่อเพื่อก้าวไป

ทุกแรงหนุนรายล้อมพร้อมด้วยรัก
พึงตระหนักอย่ารวนเรนึกเฉไฉ
เมื่อแสงส่องสู่ทางกระจ่างไกล
มีคุณค่าเหนืออื่นใดในชีวิต

จวบสุดท้ายปลายทางแห่งใฝ่ฝัน
โชคชะตาจริงนั้นใครลิขิตร
เฝ้าโอบอุ้มคุ้มกันอันใกล้ชิด
เพียรครุ่นคิดจะใครเล่า..ตัวเราเอง




....................................................................................................................................................................



เรียนมอหนึ่งได้ที่หนึ่งวิชาคณิต
แต่ไม่คิดว่าแฟนรักจะหักหลัง
ขึ้นมอสองปวดร้าวใจฤทัยพัง
น้ำตาหลั่งเพราะเขาเย้ยคนเคยควง

ขึ้นมอสองประกวดกลอนกลอนสุดซึ้ง
ใครคนหนึ่งเขามีใจให้ห่วงหวง
ได้ที่หนึ่งภาษาไทยชื่นในทรวง
จนเลยล่วงมอสามเธอตามแจ

จบมอต้นเธอจากลาหาเราโง่
อภิโธ่ดวงฤดีต้องมีแผล
ขึ้นมอสี่ไม่มีสาวเหลียวแล
จึงทนเศร้าเป่าแตรไปวันวัน

ขึ้นมอห้าหม่นหมองกระดองจิต
สาวใดเคยใกล้ชิดก็เปลี่ยนผัน
เฝ้าแต่โทษดินฟ้าที่ลงทัณท์
ปล่อยเรานั้นโศกเศร้าเหงาอุรา

ขึ้นมอหกสอบชิงทุนได้เรียนต่อ
แต่ต้องน้ำคลอเพราะห่วงหา
จบมอปลายได้ที่หนึ่งทุกวิชา
กลับต้องหลั่งน้ำตา...เพราะรักเอย










ถึงต้องอยู่ห้องกระท่อมล้อมสังกะสี
ทุกข์มิมีสิ่งใดให้คิดร่ำ
จนแต่ทรัพย์ดอกหนาแต่ว่าคำ
ฉันออกรวยล่ำซำขั้นกวี

ทนเอาห้องแคบๆเข้าแอบพัก
เป็นสำนักกรองสำนวนชวนน้องพี่
มาสืบสานกานต์กลอนโลกไอ-ที
แอบแนบใส่ความหวังดีและจริงใจ

มิหมายคบพบรักสมัครมั่น
เทียบยศชั้นมี-จนเช่นคนไหน
หวังภาษาสื่อศิลปินไทย
เลื่องลือไกลเหมือนหมายจวบวายวาง

จนเข้าขั้นยังดั้นด้นสู้อุตส่าห์
ด้วยใจรักยิ่งหนักหนามิขัดขวาง
ทั้งความรู้ครูมิสอนเพียงเลือนลาง
สู้สุ่มมั่วจนเก่งกว้างทั้งกฎเกณท์

เพียงแต่มุมมองหนึ่่งของความคิด
ใช้เพียงสิทธิ์ประชาชนคนยากเข็ญ
ไม่หวังใดใฝ่สูงพบลมเย็น
เคืองลำเค็ญโปรดอภัย...ได้คิดครวญ









พูดเรื่องหมาเราเองคนยังจนจิต
อยากจะมีคู่คิดนี้สักหน
เมื่อวันก่อนเจอหมาสัปดน
มันวกวนจู๋จี๋...ยี้..กะตา

หมาร้านเจ้ขายของชำตัวดำๆ
กะอีอ้วนขายเครื่องปั๊มน่าอิจฉา
เมียกับผู้อยู่ด้วยกันก็นานมา
เขาบอกว่ามันรักกันเหมือนผัวเมีย

แอบอิจฉามันอยู่ดูสักพัก
มันดันเล่นบทรักให้ดูเสีย
พลอยเพลิดเพลินปากลิ้มก็ชิมเบียร์
น้องอาเฮียมาเจอ..หวา..ไอ้หยามัน...

เราพลางมองพลางใจก็คิดว่า
เขาจะคิดอิจฉามันไหมนั่น
แล้วเผอิญเธอหันมาสบตากัน
เราก็ดันคิดเหมาๆ...เหมือนเราเลย