วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

ผัดผักบุ้ง

มิอาจหมายหมิ่นค่าว่าผักบุ้ง
อยู่กลางทุ่งคุ้งคลองจึงมองหา
ได้สูตรใหม่ผัดกะปิรีบรี่มา
หวังยอดงามถึงตามหาในคูคลอง

ในตลาดหนึ่งกำนั้นแพงลิบ
กำละสิบเชียวจนคิดหม่นหมอง
ต่อสองกำมิหนำใจเหมือนหมายปอง
จะลิ้มลองผัดกะปิที่โอชา

ปลิดใบออกลอกต้นเหมือนเส้นหมี่
ตามวิธีเร็วไวผัดไฟหนา
ใส่เนื้อหน่อยอร่อยจังแล้วยกมา
เส้นอ่อนอ่อนงามตาทั้งน่ากิน..

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

เหมือนทุกสิ่ง



เหมือนทุกสิ่งสิ้นเสร็จสำเร็จแล้ว
เราจึงแคล้วคลาดกันพาขวัญหาย
เมื่อชนเผ่าติวตอหนิกได้กร้ำกราย
พากองทัพอันดุร้ายเข้ายึดเมือง

เหตุและผลมันแต่งเข้าแสร้งชัก
กำหนดหลักด้วยตัวตูผู้ปราดเปรื่อง
เราเหมือนชาวโรมันเคยรุ่งเรือง
มาขุ่นเคืองคับข้องหม่นหมองใจ

การสงครามเพิ่งเริ่มต้นมิได้จบ
ซึ่งการรบจากนี้มีภาคใหม่
คนอยู่เมืองต้องเข้าป่าแสนอาลัย
คนอยู่ไพรเข้าครองเมืองด้วยอำนาจ



ในบางครั้ง



1.ในจอ

ยิ้มทุกคราเวลาออนทนนอนดึก
ใส่อารมณ์ความรู้สึกในอักษร
อ่านความคิดของหลายใครในบทกลอน
บางครั้งก็เหนื่อยอ่อนแต่เข้าใจ

มีบางเรื่องที่เรานั้นพอรู้
จึงรี่กดตอบกระทู้พร้อมคำไข
หวังว่าเพื่อนผู้ขุ่นข้องหม่นหมองใจ
คงสว่างทางไกลอันมืดมน

ไม่หวังตอบขอบคุณเฝ้าครุ่นคิด
หรือยึดติดสิ่งใดจะหวังผล
เราคือเพื่อนในจอรออดทน
ประจวบจนถึงเวลาก็มาออ




2.หลังจอ

ไม่รู้ใครมาจากไหน..ผมไม่รู้
บ้างก็มาดคุณครูคอยสั่งสอน
บ้างนางเอกเล่นบทกำหนดตอน
อ้อนพระเอกอย่างละครในทีวี

บ้างเจ้านายใหญ่โตทำโก้อวด
บ้างอย่างพระนั่งสวดไปทุกที่
บ้างเหรอหราท่าทางเหมือนนางชี
บ้างผู้ดีบ้างผู้ร้ายหลากหลายกรรม

อันจะรัก..รักใครชั่งใจอยู่
เพราะมิรู้หนแห่งกลัวเพลี่ยงพล้ำ
จากคำหวานกระดานกลอนออดอ้อนนำ
จึงพอฉ่ำชื่นจิตที่คิดไป




3.นักกลอน

ประเพณีโบราณเนิ่นนานแล้ว
กวีแก้วและเสียงกรับมิหลับไหล
เคยขับขานนานเนามาเท่าใด
จะคงอยู่ต่อไปเป็นนิรันดร์

ไม่สำคัญอันผืนแผ่นดินเกิด
ชาติตระกูลจะล้ำเลิศอันใดนั้น
สำคัญอยู่ที่หัวใจเราใกล้กัน
การสื่อสารที่สัมพันธ์เป็นกวี

ความดี-ด้อย-โดดเด่นคือคุณค่า
นั้นนำมาฝากไว้ ณ แห่งนี้
สื่อความรัก ความจริงใจ และความดี
ก่อไมตรีอีกนับร้อยด้วยถ้อยคำ


4. ไม่เข้าใจ

ในบางครั้งไม่แคล้วพบมนุษย์หนึ่ง
ผู้ไม่เคยลึกซึ้งก็น่าขำ
จะให้เปิดเผยใจในสื่อนำ
ไม่อาจทำเพื่อเคล็ดลับนั้นกับใคร

ธรรมดาอารมณ์เหนือความคิด
จะเอนเอียงน้อยนิดกันแค่ไหน
หนุ่มหรือแก่การตอบรับเช่นกลไก
จนสามารถคำนวนได้ไม่ยากเลย




5. ความจริง

อ่านและเขียนเรียนไปไม่หยุดหย่อน
ในอักษรต่างใจไว้เปิดเผย
เผื่อบรรดาท่านการุณเมื่อคุ้นเคย
ถึงจะเอ่ยรักนี้ที่เก็บงำ

ใครเดียจฉัน..นั้นก็ไม่ขอรัก
ร่วมสำนักแห่งใดไม่เหยีบย่ำ
ใครมีคุณจะแทนทดเฝ้าจดจำ
ดั่งน้ำคำนี้หนอมิขอลืม

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

โชคดี

อยากบอกลาอาลัยไม่ย้อนคิด
ทวงถามสิทธิ์ใดใดในหนหลัง
(หรือ)หลั่งน้ำตาอาลัยใจพังพัง
อย่างจริงจังออดอ้อนวิงวอนใคร

ก็เพราะฉันไม่คิดสักนิดว่า
จะถึงคราโศกเศร้าเขาผลักไส
เพราะเหตุผลบางอย่างระหว่างใจ
ที่สร้างให้ทบทวนใคร่ครวญความ

เพียงเพราะเธอมิลึกซึังถึงคุณค่า
จึงจะลาจากไกลไร้คำถาม
อาจตัวฉันลึกลับไม่วับวาม
ดั่งดาวงามดั่งดวงจันทร์ในวันเพ็ญ

จึงมิอาจฉุดรั้งในครั้งนี้
มองคนดีจากไกลไม่พบเห็น
จงโชคดีเถิดหนาอย่าลำเค็ญ
และไปเป็นดาวดวงใหม่..ใครสักคน


วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

สักวา



สักวาเพลิดเพลินมาเหินห่าง
เมื่อน้องนางเรรวนมาด่วนหนี
ปล่อยพี่เหงาเศร้าซมตรมทวี
โอ้คนดีหลีกเร้นไม่เห็นกัน

ธรรมดาป่าเปลี่ยวไปเดี่ยวโดด
ผ่านเขตุโขดหินละหานจนผ่านผัน
ครั้นงูใหญ่กราดเกรี้ยวมาเอี้ยวพัน
หวังใครกันเข้ากอบกู้เป็นคู่เอย


สักวาความจนสร้างหม่นหมอง
สาวจึงมองเหมือนหมาน้ำตาไหล
อยู่บ้านนอกขอกนาป่าพงไพร
ห่างกลิ่นไอแอร์อวลน่าชวนชม

มีแต่กลิ่นสาบควายอุ่นไอดิน
วานยุพินนวลน้องอย่าขื่นขม
เอกลักษณ์ในตัวพี่ไม่นิยม
ไปหลงลมเยินยอมิพอเอย


สักวารวมหัวฮั้วกันเก่ง
ยอกันเองอย่างนี้ดีหนักหนา
สามสี่หัวยอกันไปยอกันมา
ปล่อยให้คนร้อยกว่าพากันงง

อยากจะร่วมวงสร้างสรรการฮั้ว
นั่นแสนชัวร์เสกได้ดังประสงค์
ด้วยโดดเดี่ยวเปลี่ยวใจใสซื่อตรง
วอนอนงค์รับพี่นี้เถิดเอย


สักวาเปิดใจให้กว้างหน่อย
ดีกว่าคอยคิดแคบเข้าแอบแฝง
ในมุมมืดจ้องจับผิดคิดสำแดง
เข้าเสแสร้งหวังให้ตัวได้ดี

เหมือนฆ่าช้างหวังงาชั่วช้านัก
โปรดตระหนักเถิดท่านประการนี้
การละอายแก่ใจนั้นเข้าที
ลักษณะของผู้ดี..คนดีเอย

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

คือความหวังฝังใจ

แปลงบานชื่นมากหมู่มวลผีเสื้อ
ซุ่มหลบเพื่อจ้องจับนับตัวหนอ
ได้ใส่ถุงอวดความงามละออ
เจอตัวต่อต้องหลีกถอยมันต่อยตาย

อีกถุงยางข้างหนึ่งใส่จิ้งหรีด
มันร้องกรีดแข่งกันมันชิบหาย
ได้เวลาท้าดวนกันวุ่นวาย
สองเท้าหงายเป็นล่องลู่เฝ้ายุมัน

เมื่อร้องกรีดปีกสะบัดชัดว่ารู้
การต่อสู้เท้าจึงถอยออกปล่อยหัน
เอากระป๋องคลอบล้อมอ้อมพวกมัน
เฝ้ากัดกันถอยรุกบ้างการตั้งตัว

จนเขี้ยวหลุดปีกหลุดกัดสุดยอด
ตัวถอยถอดเพราะเจ็บกายให้ขำหัว
ไอ้ขี้แพ้แม้ขังยังอีกตัว
เอาไปคั่วเสียเถิดนะอย่ารอรี

ลำนำชีวิต

ณ แวดล้อมไออุ่นธรรมชาติ
ฟ้าปรอดปร่งอากาสสดใส
ทุ่งนาป่ากว้างมวลพฤกไพร
ยามห่างร้างไกล..เฝ้าคิด..คอยคนึง

มิลืมถิ่นแผ่นดินที่แสนรัก
แต่จากไปอาลัยนัก..เฝ้าคิดถึง
ภาพอดีตเก่าหลังยังคงติดตรึง
เพราะจนจำจากพรากเรือนเหย้า

สุดสายตาฟ้ากั้นไกลนั่น
ดั่งแต่งแต้มเขตุขั้นขุนเขา
แลรูปลักษณ์คลับคล้ายเพียงเงา
ของเจ้าไดโนเสา..สัตว์โลกล้านปี
เจื้อยแจ้วแว่วเสียงมวลหมู่นก
ถลาร้องป้องปกคู่นี้
สะท้อนหนึ่งแห่งห้วงฤดี
ต่างแต่เราที่...ไร้สิ้น..คนผูกพัน

มะม่วงออกดอกช่อเริ่มติดผล
จวนจะพ้นผ่านฤดูสู่คิมหันต์
โอ้ปีลับเดือนลาทีละวัน
สำรวจตัวนั้น..มิเปลี่ยนแท้..ดั่งเดิม

พวกเพื่อนบ้านต่างแต่รวยร่ำ
รายได้เป็นกอบกำพูนเพิ่ม
สร้างเรือนสร้างหอออกต่อเติม
ดูดีกว่าก่อนเดิม..แห่งนี้..เป็นมา

รถรามีไว้ขี่เพียบพร้อม
เราเล่าคงแต่น้อมนึกหา
ต้อยต่ำบ่เทียมคนยามไปมา
ได้พึ่งเพียงสองขา..ลำแข้ง..เคียงเดิน

คงทนคือความจนบ่ห่อนหาย
เหลือละอายไร้สิ้นที่สรรเสริญ
โชคชะตาตกต่ำทางเจริญ
มวลหมู่หมางเมิน..เมื่อคราว..เข็ญใจ

ลมพัดใบไม้ปลิวละลิ่วล่อง
กิ่งก้านครางลมต้องเอนไหวไหว
เหมือนดั่งความซื่อในจิตใจ
มักเกิดอ่อนไหว..เมื่อต้อง..ลมลวง


ผึ้งหึ่งหึ่งบินชมช่อไม้
ซุกตัวเข้าคลั่งไคล้ห่วงหวง
วันวันเทียวหาบุปผาทั้งปวง
เหมือนคนห่วงหน้าที่งานกระทำ

เรานี่นึกนึกน่าอายผึ้ง
บ่มีเลยสักที่หนึ่งเลอล้ำ
อยู่ไหนครองตนจนระกำ
ทุกข์ซ้ำทำเดือดร้อนมิผ่อนคลาย

อยู่ไกลริบหรี่ความใฝ่ฝัน
ยากดั้นด้นไปสู่จุดมุ่งหมาย
ยามเหนื่อยอ่อนล้าทั้งใจกาย
รุมสุมฟูมฟาย..ไม่เห็น..แห่งพึ่งพิง



วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

อีกรูป



แฟนอีสุ

รักอยู่หนใด




รักอยู่ในสายลมที่พรมพัด
อยู่ในความเงียบสงัดของวันเหงา
ในสายน้ำเปี่ยมปริ่มงามพริ้มเพรา
ใต้แสงเศร้าเงาจันทร์คืนฝันใฝ่

และฉันคือตัวแทนแสนคำรัก
จงตระหนักเถิดนั่นหยุดหวั่นไหว
จะขอเป็นเพื่อนเหงาวันเศร้าใจ
มอบอุ่นไอรักละมุนมิเสื่อมคลาย




ก้าวหน้า




ขอก้าวไกลด้วยใจมั่นของชีวิต
คนลิขิตคือตัวข้าไม่ช้าเฉย
สิ่งดีๆมากมายสบายเสบย
หรือมาเกยคนรอท้อระทม

ขืนพัวพันเพราะพันผูกผู้ท้อถอย
คงเศร้าสร้อยสาใจไร้สุขสม
ขอก้าวฝ่าดวงใจทุกข์ปลุกความตรม
หยุดนิยมเยินยอเพื่อรอใคร




รูปคนแถวบ้าน

คนนี้อีสุ ตอนนี้มันอยู่ใต้หวัน แอบชอบมันและคิดว่ามันเป็นแฟนผม สักวันหนึ่งเราจะแต่งงานกัน
ส่วนคนนี้อีแก้วตา..หลาน
นี่พี่สาวกับแม่ผมเอง..จาเจ็ดสิบแล้ว
เด็กผู้ขายคนกลาง ตกน้ำตายปีที่แล้วนี่เอง ผมเป็นคนลงไปควานหาตัวในน้ำ จากคำบอกเล่าของพวกเด็กๆเพื่อนของมัน แต่สิ่งที่ผมได้ขึ้นมาจากในน้ำคือ ร่างที่ไร้วิญญาญ แบกขึ้นรถส่งอนามัย..ชื่อมันบักดอย ไปสวรรค์นะไอ้ดอย
คนรูปหล่อนี้คือคนเขียนบล๊อกนี่แหละ ถ่ายด้วยยโทรศัพย์มือถือเมื่อปีที่แล้ว..เอ่อ..สองปีที่แล้ว ตอนนั้นทำงานที่พหลโยทิน ข้างๆช่อง5 
ส่วนตัวนี้ชื่อฮันนี่ จิตใจมนุษย์ภายใต้ร่างของสุนัข
เพื่อนร่วมงานที่เจ้ากี้เจ้าการ
นาตอนข้าวเขียว
ถ่ายจากหน้าจอ รองแชมป์ฟุตบอลโลก

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

เมฆ





หมาเห็นเมฆคิดไปด้วยใฝ่ฝัน
หากเป็นเมฆเช่นนั้นจะดีไหม
เทวดารู้เห็นในความนัย
จึงทวงถาม"จะเป็นไหมเดี๋ยวให้เป็น"

หมาดีใจได้เป็นเมฆลอยละล่อง
เป็นฟองฟ่องอยู่ฟากฟ้าส่ายตาเห็น
ลมมาพัดเมฆแยกแตกกระเซ็น
ความทุกข์เข็ญ..อยากเป็นลมให้สมใจ

เทวดาให้เป็นเหมือนเช่นอยาก
ลมพัดจากจรแจ้งทุกแห่งไหว
นึกคะนองด้วยฤทธิ์พิชิตไป
ทั้งต้นไม้ชายคาไร้ปารนี

ถึงจอมปลวกขื่นขมระทมพัด
ยังยืนหยัดอยู่ได้กระไรนี่
ควายอีตู้แปลกหน้าเข้าราวี
ขวิดหลายทีจอมปลวกนั้นก็พังครัน

ความเก่งกาจส่อเห็นความเป็นเอก
เทวดาจงเสกเสียเถิดนั่น
มาเป็นควายทุกข์ใจไปวันวัน
เขาล่ามมันด้วยเชือกนอนเกลือกตม

จนเห็นหมาตัวหนึ่งมาเดินใกล้
อยากหลุดออกเที่ยวไปสุขใจสม
อยากเป็นหมา..หมาที่ฟันแหลมคม
เทวดานึกตรอมตรม...เสกสมใจ

กลับเป็นหมาตัวเก่าแล้วเฝ้าคิด
ครวญพินิจดูท้องฟ้าพาหวั่นไหว
เทวดาร่ำมาแต่ไกลไกล
"อยากเป็นอีกอะไรไหนบอกมา"

"หมาบอกว่าเป็นหมาแสนดีแล้ว
ไม่คลาดแคล้วทุกข์เข็ญนั้นดอกหนา"
มองก้อนเมฆเมื่อสายลมพัดพา
มองควายตู้อยู่กลางนาอย่างรู้ใจ

ลิงฝาหรั่งครับ


คาดว่าน่าจะกินขนมปัง ลิงพวกนี้เลี้ยงง่าย เชื่อง ฉลาดและแสนรู้ อึอึ
เด็กปอขี้ไก่ครูใหญ่จำเป็น....

ครูทองก้อนเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมลุงดาวผู้ใหญ่บ้าน  ทั้งสองเดินไปตามหมู่บ้าน  ถึงคุ้มกลุ่มไหนก็จะบอกคนในคุ้มนั้น มารวมตัวกัน  และแจ้งข่าวให้ทราบว่าอีกหนึ่งอาทิตย์  โรงเรียนก็จะเปิดเรียน  ใครที่มีลูกหลานอายุย่างจะเจ็ดขวบปีนี้  ให้นำลูกหลานของตน  ไปแจ้งต่อครูอาจารย์ที่โรงเรียนในวันเปิดเรียน  เพื่อเข้าเรียนหนังสือ  และย้ำว่าใครหลีกเลี่ยงไม่ให้ความร่วมมือจะถือว่าผิดกฎหมาย  และนายอาจจับเข้าคุกได้  เมื่อทุกคนฟังเข้าใจและใตร่ถามถึงเอกสารที่จะต้องนำไปในวันเปิดเรียนจนทราบดี  ครูทองก้อนและลุงดาว  ก็จะย้ายไปแจ้งข่าวที่อี่นต่อ...


ครูทองก้อนและลุงดาว  มาหาพ่อที่บ้าน  นั่งคุยกันที่ซุ้มดอกเห็ดของพ่อ  ครูทองก้อนชมพ่อว่าทำสวยดี  และแปลกกว่าใครในหมู่บ้าน  ตานวลเมื่อเห็นลุงดาวก็แอบหลบไปที่อื่น  เพราะกลัว  ลุงดาวขู่ตานวลบ่อยๆ  เรื่องที่แกชอบพกหนังสือโป้แจกคนหนุ่มในหมู่บ้านดู  แล้วใจแตก  ลุงดาวว่า  จะให้นายในเมืองมาจับ แต่คนในหมู่บ้านรักตานวล  โดยเฉพาะพวกหนุ่มๆทุกคนชอบเรียกแกว่า  ท่านศาสดาจารย์  สักพักน้าไพ  อาจ่อย  ลุงหนวดก็มาสมทบ  บักแหล่กับเสือสมิงเพื่อนในวัยเดียวกับผม  ก็ตามพ่อมันมาด้วย  ลุงหนวดเถียงพ่อว่าผมเป็นน้องบักสมิง  พ่อไปเอาสำเนาเอกสารหลายใบ  มาให้ครูทองก้อนดู  ลุงหนวดก็เอามาด้วย  บักสมิงตัวโตกว่าผมแต่สกปรก  ส่วนผมครูทองก้อนชมว่าท่าทางฉลาดแข็งแรง  สมชื่อ”บักแข่น”  บักแหล่ขี้มูกโป่ง  เหมือนจะร้องไห้เมื่อครูทองก้อนยื่นมือมาจะจับมัน  ครูทองก้อนบอกว่า  พวกเราทั้งสามคนจะได้เข้าโรงเรียนเป็นลูกศิษย์ครูในปีนี้.......

คืนนั้น  
หลังอาหารเย็นในคืน  อันมืดค่ำ  ของคืนข้างแรม  รอบแสงตะเกียงน้ำมันก๊าด  ผมนั่งตัวเกร็งเป็นปั้นข้าวเหนียว  ต่อสายตาพี่น้องในครอบครัวรวมหกคน  (หญิงสามคนชายสามคนมีผมกับน้องชายที่เพศไม่สลับกัน  นอกนั้นสลับกันจากพี่สาวคนโต)และรับทราบล่วงหน้าว่า  จะเกิดอะไรขึ้น  หากผมเกเรเมื่อไปอยู่ในโรงเรียน  ผมเอาแต่ยิ้มและนึกสนุก  อยากรู้เหมือนกันว่า  พวกคนโตๆเขาอ่านหนังสือออกได้อย่างไร  คนที่อ่านไม่ออกเขาก็ว่าโง่  ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น  น้องชายมาลูบๆคลำๆบีบไหล่บีบแขนและชมว่า  อ๋อนี่แหละว่าที่นักเรียนใหม่
วันเปิดเรียนมาถึง  


 ผมได้ชุดนักเรียนใหม่ทั้งชุด  โก้ขนาด  ขบวนนักเรียนเก่านักเรียนใหม่  ค่อยๆทยอยออกเดินไปโรงเรียน  ทั้งลูกเล็กเด็กแดงหอบจูงกันไป  บางรายกลัวครูไม่อยากไปโรงเรียน  ร้องไห้กระจองอแง  ต้องฉุดกระชากลากกันไปทั้งขู่ทั้งปลอบ  ผู้พบเห็นรู้สึกยุ่งยากใจไปด้วย  แต่ก็ยิ้มและให้กำลังใจว่า


“ควายหัดเข้าคราดเข้าไถใหม่ๆก็ลำบากแบบนี้แหละ  ไว้มันเป็นแล้วแกก็สบายหรอก”ผู้พูดหัวเราะหึหึ

ห้องเรียน
ห้องเรียนของพวกเราดูวุ่นวายไปหมด  ครูให้นักเรียนใหม่ทั้งหมด  รวมอยู่ห้องเดียวกันที่อาคารหนึ่ง เป็น เรือนไม้ชั้นเดียว  นับจำนวนนักเรียนก็มากพอสมควร  เพราะสองหมู่บ้านมีโรงเรียนแห่งเดียวกัน  เพื่อนใหม่ของผมบางคนต้องมีแม่คอยปลอบประโลมอยู่ใกล้ๆ  เพราะหมอเอาแต่ร้องลูกเดียว  บางคนชอบมองหน้า  ผมก็มองมันบ้าง  พอสบตากันนานๆทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ  กล้ามเนื้อมันแน่นเปรี๊ยะๆไปหมด   ครูทองก้อนปรากฏตัวที่หน้าห้องเรียน  พร้อมรอยยิ้มและการเล่าแจ้งแถลงไข  ความวุ่นวายเสียงจอแจพลันเงียบงัน  เมื่อนิทานไหลรื่นออกจากปากครูทองก้อน  พร้อมภาพประกอบบนกระดานดำ  สะกดพวกผมให้เคลิ้มไปอย่างชวนฝัน...สนุกอย่างบอกไม่ถูก

นานจนเราเรียกโรงเรียนแห่งนั้นว่า”โรงเรียนของเรา”                                   
บรรดาเรานักเรียนใหม่  เมื่อคุ้นเคยสถานที่แล้ว  ก็จะกลายเป็นลิงกังที่โลดโผนโจนทะยานไปทั่ว  ให้คุณครูคอยกำหราบอยู่เป็นประจำ   ผมยกระดับตัวเองมาอยู่ขั้นแนวหน้าของเพื่อนๆทั้งหมด  และเรียนเก่งกว่าทุกคน  สายตาที่มองมาสู่ผมจึงเป็นสายตาทีอ้อนวอนเช่นทาสมอบให้แด่นาย  มิฉะนั้นก็จะอดลอกการบ้าน  และอาจมีการปากแตกเกิดขึ้น  พวกผมได้แยกพวกออกอีกเป็นสองฝ่าย  คือทับหนึ่งและทับสอง  ผมอยู่ทับสอง  ต้องย้ายจากอาคารหนึ่งมาอยู่อาคารสองชั้นล่าง  มีเพียงฝาเขียบตองเก่าๆโกโรโกโส  เป็นรูโบ๋  กั้นรอบนอก  ในห้องใช้เพียงกระดานดำกั้นระหว่าง  ห้องของพวกผมติดกับชั้นปอสี่  เมื่อมีกิจกรรมสนุกๆ  ของพวกพี่ๆอย่าง  ร้องเพลง  ฟ้อนรำ  พวกผมก็จะมามุดใต้กระดานดำออกันดูอย่างสนุก  ครูทองก้อนใจดีไม่เคยว่า  พวกผมมักถูกพวกพี่ๆตัวโตกว่า  ล้อเลียนอยู่บ่อยๆว่าพวกปอขี้ไก่  เพราะวันๆเอาแต่ท่อง  กอไก่  ขอไข่  จนดูๆแล้วหน้าเหมือนไก่  ทั้งห้องก็เหม็นไปด้วยขี้ไก่  ทำให้พวกผมรู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก


วันหนึ่งหลังครูทองก้อนให้ทำแบบฝึกหัด  เสร็จ-ส่งและรอตรวจ  ผมเห็นเพื่อนๆยืนดูอะไรอยู่ข้างกระดานดำ  ผมเลยไปสมทบ  ที่หน้าชั้นเรียนชั้นปอสี่มีพี่คนหนึ่งยืนอยู่  ชื่อพี่ยา  พี่เขาตัวโตมากเรียนซ้ำชั้นมาแล้วหลายปี  ปอสี่ปีนี้เป็นปีที่สอง  เรียกกันสนุกๆว่าปอสี่ปีสอง  ครูอำนวยตัวอ้วนๆ  ใช้ไม้เรียวเคี่ยวเข็ญให้แกอ่านตัวอักษร  ที่เขียนไว้บนกระดานดำ  ตัวเท่าหม้อแกง  ถึงผมจะยืนอยู่ไกลพอประมาณก็ดูออกว่าเป็น  ห.หีบกับสระอา  อ่านว่า”หา”อย่างแน่นอน  พี่เขาก็อ่านไปเรื่อยไม่ถูกสักที  ครูก็คอยซักอยู่นั่นแหละ  เพื่อนๆพี่เขาก็คอยลุ้น  และหัวเราะอย่างสนุกสนาน  เพื่อนๆของผมบอกว่าสนุก  แต่ผมรู้สึกเซ็งกิน  


“หอหีบสระอาก็ต้องอ่านว่าหา” ผมตะโกนออกไป


จากนั้นก็กลับมานั่งที่อย่างไม่คิดอะไรเลย


สักครู่ต่อมา  ครูอำนวยเดินมาที่ห้องเรียนของพวกผม  และถามหาเจ้าของเสียง  ผมรู้สึกหน้าเสีย  เพราะกิตติศัพท์ครูอำนวยนั้น  เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าแกดุมาก  เพื่อนๆของผมแสดงความยินดี  โดยรุมชี้มาที่ผม  ผมรู้สึกเหมือนจะละลายเป็นเถ้าธุลีไปในบัดนั้น  ครูอำนวยหันไปซุบซิบกับครูทองก้อนอยู่พักหนึ่ง  ก่อนขออนุญาตินำตัวผมไป  โดยมีกองหนุนเป็นพวกพี่ๆชั้นปอสี่ตัวโตๆ สองสามคน   ผมพยายามต่อสู้ขัดขืนแล้วแต่พ่ายแพ้  ด้วยเรี่ยวแรงที่ด้อยกว่าพวกนั้น


“จับกูทำไมวะ  ไม่ไปโว้ย  ไม่ไป”  


ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักโทษ  ยืนกุมเป้าตัวสั่นงั่กๆอยู่หน้าชั้นปอสี่  เคียงบุรุษหนุ่มแววตาเศร้าลึกโหล  ความสูงของผมแค่บั้นเอวพี่เขาเอง   พวกที่นั่งอยู่ในห้องต่างก็เพ่งสายตามาที่ผม  จ้อง  แล้วก็หัวเราะ  จนผมรู้สึกว่า  ความหล่อของตัวเองลดน้อยถอยลงไปทุกที


“พวกเราทุกคนปรบมือต้อนรับครูใหญ่ของพวกเราหน่อยเร้วว”  ครูอำนวยออกคำสั่งและปรบมือนำทุกคนก่อนที่ทั้งห้องจะเกรียวกราวไปด้วยเสียงนั้น  รวมทั้งเพื่อนๆของผมที่ยืนอยู่ริมกระดานดำ


“แนะนำตัวหน่อยครับ”  ครูอำนวยบอกพลางก้มมองใบหน้าหล่อๆของผม


“เด็กชายรุ่ง  หนองนกเป็ดครับ”  ผมตอบเสียงฉะฉานและมุ่งมั่น


ทั้งห้องเงียบ....


“แสดงความสามารถสะกดคำบนกระดานดำอีกครั้งนะครับ  แบบว่ามีพี่บางคนเขาอ่านไม่ออกน่ะ”


ครูอำนวยหันไปมองพี่ยาพร้อมรอยยิ้มเริงรื่น  ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก  เงยหน้ามองตัวอักษรในกระดานดำ  และเปล่งเสียงออกมาอย่างมั่นใจ


“หออาหาคับ”  


ทั้งห้องหัวเราะสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง  พี่ยารู้สึกว่าเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้  แต่ก็สายไปเสียแล้ว  ครูอำนวยให้ผมอ่านหนังสือบนกระดานดำให้พี่ยาอ่านตามอยู่สองสามรอบ  สุดท้ายผมก็ได้ไปนั่งบนเก้าอี้ของครู  ห้อยเท้าต่องแต่งตามคำสั่งครูอำนวย  มีพี่ยาคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง  และก้มกราบต่อเจ้าแม่ธรณีอยู่หลายรอบ  พร้อมกับพูดว่า


“อาจารย์ใหญ่คร้าบ”  


“อาจารย์ใหญ่คร้าบ “


“ อาจารย์ใหญ่คร้าบ”


ผมกอดอกพยายามวางมาดให้เหมือนครูใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้  ก่อนจะหัวเราะออกมาดังๆพร้อมกับคนอื่นๆทั่วทั้งห้องนั้น  อย่างกลมกลืน




ที่มา
     http://www.thaiwriter.net/forum01/index.php?topic=5773.0

เรื่องสสั้นที่ผมเขียน

เรื่องสั้นๆ   บ้าน..

ผมเติบโตมากับทุ่งนาป่าดง ใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบัน กินอยู่อย่างเรียบง่าย  โดยภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนอิสาน  เรื่องอาหารการกิน น้อยครั้งที่ครอบครัวของผมจะลำบากควักเงินในกระเป๋าซื้อให้สิ้นเปลือง เพราะทุ่งนาป่าพงพีที่แวดล้อม  นั้นอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ธัญญาหารคอยหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ   

ครอบครัวของผมสืบทอดอาชีพชาวนามาแต่บรรพบุรุษหลายชั่วอายุคน พ่อของผมเป็นช่างไม้ที่จัดว่าฝีมือดีคนหนึ่งในหมู่บ้าน  สิ่งที่พ่อทำมาตลอดคือการสร้างบ้าน ทั้งบ้านตัวเองและรับจ้างคนอื่น  นอกจากสร้างบ้านพ่อยังทำเฟอนิเจอร์ขาย มี ตู้ เตียง เก้าอี้ โต๊ะ เป็นต้น  พ่อคือคนสร้างรายได้ให้กับครอบครัว  บ้านที่เราอยู่เมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์สวยงามวันดีคืนดีพ่อนึกครึ้มอกครึ้มใจวันใดก็จะประกาศขายไปซื้อที่ดินแห่งใหม่ และเริ่มก่อสร้างบ้านอีกหลัง เป็นอย่างนี้มาตลอด  แม่กับพี่สาวเล่าให้ฟังบ่อยๆว่าบ้านใครบ้างที่เคยเป็นบ้านของเรามาก่อน 
เท่าที่จำความได้ บ้านที่อยู่ข้างบ้านผมก็เคยเป็นของพวกเรามาก่อน ด้วยความสงสัยในวัยเด็ก ผมก็นึกสงสัยว่า ทำไมพ่อต้องให้คนอื่นมาอยู่บ้านของพวกเราด้วย และพาพวกเราทั้งหมดหอบข้าวหอบของมาอยู่บ้านหลังเล็กๆ มุงด้วยหญ้าคา พร้อมกับมองโครงการใหม่ของพ่อ  ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างอย่างนึกแปลกใจ  

แม้ในที่สุด เมื่อมันถูกกั้นรอบด้วยฝาเขียบตองสีเขียวสดทั้งหลัง พ่อจึงไปชักชวนเพื่อนบ้านมาช่วยหอบข้าวหอบของเดินรอบบ้านสองรอบสามรอบ นิมนต์พระมาทำพิธีต่างๆ จัดเลี้ยงสังสรรค์พร้อมประกาศว่า ที่นี่คือบ้านใหม่ของพวกเรา 

บ้านของพ่อโดดเด่นในจินตนาการของเพื่อนบ้านรวมทั้งพวกผม  เมื่อมันแล้วเสร็จ  แต่ตอนนี้มันล้อมลอบด้วยฝาเขียบตองสีเขียว  ตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของทุกคน

ช่วงที่กำลังเร่งสร้างบ้าน พ่อจะตะเวนไปตามทุ่งนาของญาติมิตรโดยมีผมคอยติดตามไปด้วยในบางครั้ง  พ่อจะตระเวนดูต้นไม้ที่เนื้อดีๆอย่างประดู่ มะค่า เต็ง รังและอื่นๆตามแต่จะเลือกได้และเลือกเฉพาะต้นที่ลำต้นตรงๆ และคาดว่าไม่เป็นโพรง จากนั้นพ่อก็จะเจรจาต่อรองกับเจ้าของ ซื้อต่างขอ จนคาดว่าจะพอแก่การก่อสร้างและงานไม้อื่นๆ  จากนั้นจึงเริ่มลงมือ ตัดโค่นและแปรรูป  พ่อมีลูกมือซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆของพ่อชื่ออาเบ้า พ่อกับอาเบ้าสนิทกันมาก แต่อาเบ้ามีนิสัยที่ต่างกันคนละขั้วกับพ่อคือ เกียจคร้าน บ้านของอาเบ้าเป็นบ้านหลังเล็กๆ เหมือนกระต๊อบ อาเบ้ามีความรู้เรื่องซ่อมวิทยุนิดหน่อย ไม่ถึงกับเป็นช่างแต่ด้วยใจรักจึงดูเผินๆว่าแกเป็นช่างซ่อมวิทยุเก่งขนาด เวลาไปหาแกที่บ้าน ก็จะเห็นข้าวของพวกครื่องไม้เครื่องมือซ่อมวิทยุเกลื่อนห้องไปหมด  พ่อมองอาเบ้าอย่างเบื่อหน่าย และเห็นการกระทำนั้นเป็นสิ่งหมกมุ่นและไร้ประโยชน์ แต่ก็จนปัญญาจักชักนำในสิ่งที่ดีกว่านั้น

ชนบททางอิสานบ้านผมนั้นจะปลูกบ้านอยู่รวมกันและเรียกที่นั่นว่า”หมู่บ้าน” ส่วนที่นาก็จะกระจัดกระจายอยู่ทั่วหัวระแหงความไกล-ใกล้ ของแต่ละครอบครัว บางครอบครัวที่นากับบ้านอยู่ไกลกันร่วมสามถึงสี่กิโลฯ  พวกผมดูจะสะดวกสบายกว่าใครอื่นเพราะที่นาอยู่ใกล้ๆบ้าน  เถียงนากับบ้านไกลกันไม่เกินห้าร้อยเมตร เวลาฤดูทำนาจึงไม่จำเป็นต้องลำบากขนย้ายข้าวของไปอยู่ตามที่ไร่ที่นาเหมือนครอบครัวอื่นๆเสียให้ยาก

นาของผมอยู่ท้ายหมู่บ้านนี่เอง  เดินเลยป่าขี้ไปก็ถึงนาผม

ป่าหัวเถียงคือโรงเลื่อยของพ่อ  มันถูกถากถางจนเตียนราบใต้ต้นตะค้อต้นใหญ่  ไม้ที่พ่อตระเวนซี้อไว้จะถูกตัดและลำเลียงโดยรถเข็นมาที่นี่  พ่อกับอาเบ้าจะช่วยกันยกมันขึ้นห้างที่สร้างไว้อย่างดีตีไม้ล๊อคอย่างแน่นหนากันโยก จากนั้นจึงทำการเลื่อยเปิดปีกออกสองข้างก่อนแล้วจึงตีเส้นตามขนาดของไม้แปรรูปที่ต้องการ  เสร็จแล้วก็ลงมือเลื่อยโดยให้ตรงไปตามเส้น  ไม้ส่วนที่เปิดปีกแรกออก เรียกว่าไม้แป้นปีก ด้านหนึ่งจะเรียบอีกด้านหนึ่งจะขลุขละโค้งตามลักษระของต้นไม้ที่เป็นทรงกลม ไม้นี้ก็ใช่จะไร้ซึ่งประโยชน์ คนบ้านผมมักเรียกคนที่เรียนไม่เก่งว่า “พวกปึกเหมือนแป้นปีก” ด้วยมีลักษณะเป็นเช่นนั้น

แม่กับอาหนูเมียอาเบ้าก็จะมาช่วยบ้างในบางวัน  รวมทั้งพวกผมในวันเสาร์อาทิตย์ ก็จะมาดูพ่อกับอาเบ้าเลื่อยไม้และช่วยแม่ขุดปู หาเขียด เก็บผักหวานดอกกระเจียวในป่าเป็นที่สนุก  


พ่อกับอาเบ้าเลื่อยไม้เข้าขากันดีเพราะฝึกกันมาตั้งแต่หัดเลื่อยใหม่ๆ บ้านของปู่ทั้งหลังล้วนแต่เรี่ยวแรงของพ่อกับอาเบ้า จังหวะการดึงการส่งเลื่อยเป็นไปอย่างกลมกลืน  มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนเลื่อยไม้เมื่อเสี่ยวสองคนช่วยกันเลื่อยไม้ ต่างคนก็ต่างใจร้อนอยากให้เสร็จไวไว  จึงต่างดึงต่างดันไม่เป็นจังหวะ กอรปกับความใจร้อนของทั้งสองส่งผลให้ขอนไม้มีเลื่อยติดอยู่หล่นจากห้างกลิ้งหลุนๆลงคลอง เสี่ยวสองเสี่ยวยืนมองอย่างฉงนฉงาย จากนั้นก็หันมาทะเลาะตบตีกัน โดยต่างฝ่ายต่างโทษในความผิดของกันและกัน เป็นเรื่องเล่าชวนหัวเรื่องหนึ่ง  พ่อกับอาเบ้ามองตาก็รู้ใจกันทั้งสองจะพูดจาเล่นหัวกันก็น้อยครั้ง

ไม้ที่เลื่อยเสร็จแล้วพ่อจะเก็บซ่อนไว้ในป่าหัวเถียงและขนเข้าบ้านทีละน้อยๆ  พ่อทำงานทุกวันแทบไม่มีวันพักผ่อน คมกบไสไม้ของพ่อคมวาวอยู่ตลอดเวลา
 พอเสร็จงานเลื่อยไม้แปรกับอาเบ้าพ่อก็หันมาทำวงกบประตูหน้าต่าง  จากนั้นก็นำไปติดตั้ง ใส่บาน กั้นฝาวันละนิดละหน่อย  โดยมีแม่เป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของพ่อ  บ้านของผมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  นานหลายปีจนบ้านที่พ่อมานะสร้างไม่มีฝาใบตองแม้แต่ด้านเดียว  เสาตัวเรือนใหญ่สิบสองต้นทำจากต้นประดู่ที่ถากด้วยมือพ่อ  กั้นเป็นห้องสามห้อง มีหน้าต่างรับลมทั้งสี่ทิศ  ใต้เรือนเป็นคอกควายส่วนเชื่อมต่อไปยังเรือนครัวลดชั้นจากเรือนใหญ่สามขั้นบันไดกว้างพอประมาณเป็นที่โล่งไว้ดูดาว ไม่มีหลังคา เรือนครัวมุงด้วยหญ้าคา เสาถากจากไม่จิกหกต้น กั้นรอบด้านด้วยไม้กุง ทุกอย่างเสร็จแล้วด้วยฝีมือของพ่อ

พ่อนิมนต์พระมาทำบุญขึ้นบ้านใหม่อีกครั้งหนึ่งหลังตรากตรำมานาน  ญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงมาร่วมทำบุญกันถ้วนหน้า ทุกคนต่างชื่นชมในความมุ่งมั่นของพ่อ  สายสิญน์ถูกโยงระยางไปรอบบ้าน  แขกที่มาในงานค้อมหัวฟังเสียงพระสวดมนต์อย่างนอบน้อม  พ่อหยาดน้ำลงขันอุทิศส่วนกุศลผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรเป็นพิธีกรรมสุดท้าย  

พระเณรกลับวัดหลังจากฉันเสร็จและให้พร  ขณะแขกเหรื่อที่มาในงานกำลังดื่มกินอย่างสนุกสนาน  พ่อมายืนที่หน้าบ้านและมองดูมันอย่างภาคภูมิใจ  เดินกลับไปกลับมากลางผู้คนขวักไขว่  ใครคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า

“เจ้าสิขายขายเท่าไหร่หรือน้าทิดเสาร์บ้านหลังนี้”

 คำพูดนั้นเหมือนจะตั้งคำถามให้กับชาวบ้านและพวกเราทุกคนในครอบครัวครุ่นคิดว่า  ใครกันหนอที่จะมาเป็นเจ้าของบ้านที่แท้จริงของบ้านหลังนี้

แต่...... 

ไม่มีคำตอบจากพ่อนอกจากรอยยิ้ม 




ที่มา
http://www.thaiwriter.net/forum01/index.php?topic=6224.0
  


วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

สร้างบล๊อคไว้เขียนหนังสือ

เพิ่งค้นพบที่นี่ และเริ่มสร้างบล๊อคของตัวเอง..อึอึ สองวันแล้ว หลังจากนี้คิดว่าจะะพยายามสรรสร้างแต่สิ่งดีดี โดยเฉพาะงานเขียนหนังสือ ใครชอบอ่านอย่าลืมติดตามนะครับ

ผมยังใช้ชื่อเดิม ชื่อทึ่มๆ ซื่อๆ ดอกกระเจียวครับ ย่างเข้าปีที่สองที่ผมมาปรากฎตัวในโลกไอ-ที เพื่อการศึกษาเรียนรู้และพัฒนาตนเอง..ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่โลกได้สร้างเอาไว้ ให้เราสานต่อเจตนารมณ์ เพื่อตังเองและคนอื่น

ใกล้สอบแล้ว อ่านหนังสือเตรียมตัวกันให้ดีนะครับ

ดอกกระเจียว

คึดฮอดบ้านเก่า

ลืมพนาลาพะเนียงเหลือเพียงภาพ
ไกลทุ่งราบกราบทุ่งเร้นไม่เห็นหาย
ทิ้งพี่ร้างทั้งเพื่อนรักประจักษ์กลาย
ร้อนลุงอาลาหลานอายมาไกลกัน

น้ำตานองหนองตะนาจำลาจาก
เคยลำบากครั้งลำบนหนีหนหัน
มารุ่งเรืองเมืองรุ่งรองที่ผ่องพรรณ
แดนสวรรค์ดังสวาทปราชญ์อุดรฯ

บ้านดอนหาดบาดดั่งห้วงสรวงสถิต
เสนอมิตรสนองมวลครวญอักษร
สืบกวีศรีแก้ววรรณศิลป์วอน
รู้เพื่อนจรร้อนเพื่อนแจ้งคนแสงดาว

ทางเว็บไซไทยเว็บซึ้ง ณ แห่งนี้
ทุกข์หรือดีที่เราดังฝากสั่งสาว
แท้ฝันดีที่ฝั่งแดงแจ้งเรื่องราว
สนองกล่าวสาวนากลางทางอำเภอ

แสนสนุกสุขสนานประการใด
แจ้งอย่าบิดจิตอย่าใบ้ในเสนอ
เราบักพุงรุ่งบำเพ็ญเด่นดังเออ
หากใครเจอให้ครวญแจ้งแถลงมา

ทั้งโนนธาตุธาตุโนนที่มีเพื่อนเก่า
เป็นสุขเศร้าเป่าสุขสิ้นถวิลหา
รวมคุณครูรู้คุณความตามวิชา
ตั้งจิตพึ่งตรึงจิตพามิลืมเอย