วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

นิราศทุ่งทิวไพร



นิราศทุ่งทิวไพร
พอตะวันเบี่ยงบ่ายที่ปลายฟ้า
จากบ้านเที่ยวมาตามถนน
แดดร้อนระอุอย่างไฟลน
ต้องเลี่ยงหลบพ้น..พึ่งเงา..ไม้บัง

นกน้อยบินลอยเรียงเคียงคู่
เดียวดายดูไร้รักที่จักหวัง
ทนอยู่เปล่าเปลี่ยวเพียงลำพัง
ก็ยังขาดเขิน..เกินคิดไปมีใคร

ใบไม้พลิ้วหวิวหวือโขยกระโชก
กิ่งไม้โบยโบกระเนนไหว
ต้นจิกรังเพิ่งผลัดระบัดใบ
สีสันสดใสตามท้องทุ่งนา

ต้นไผ่ไหวเอนตามลมล่อง
เสียงเสียดสีลำปล้องดั่งภาษา
ความเพลิดเพลินตามใจจินตนา
ฟังประหนึ่งว่า..คำถ้อย..คนรำพัน

สองฝั่งทางพงหญ้าเหี่ยวแห้ง
เฉาวายลงตายแล้งสิ้นวสันต์
ดั่งคนเศร้าโสกาสุดจาบรรย์
คอยรักผูกพัน..ปลอบเล้า..ประโลมทรวง

                                          




แม่ไก่คุ้ยหญ้าจิกหาเหยื่อ
กับลูกน้อยคอยเอื้อเฟื้อห่วงหวง
ร้องกุ๊กกุ๊กเรียกลูกทั้งปวง
ลูกฟังดั่งรู้ล่วงวิ่งกรูคุ้ยตาม

ดูไก่ดั่งสอนเรารู้ว่า
ปัญหาอุปสัคขวากหนาม
คือสิ่งเร้าใจให้พยายาม
ขุดคุ้ยด้วยความ..มุ่งมั่น..อดทน

วันหนึ่งคงพบสิ่งมุ่งหวัง
สมดั่งตั้งใจได้สักหน
แม้ทุกข์โศกเศร้าเข้าผจญ
ขวนขวายดิ้นรน..ต่อสู้..ต่อไป




ถึงทางแยกเขตุนาของตาหลวง
เดินล่วงชมเพลินลงเนินห้วยไร่
ป่าไผ่สูงสล้างกิ่งแกว่งไกว
ไม่มีใบกิ่งกางเหมือนก้างปลา

เงาไม้คลุมทางเย็นร่มรื่น
ต้นก้ามปูแผ่ยื่นกิ่งสาขา
ต้นประดู่ผลิใบงามอร่ามตา
ต้นหนามป่ากิ่งพันกันรุงรัง

แสยงใจใคร่คิดบุกรุก
จะไม่ทุกข์ออกมาแล้วอย่าหวัง
เหมือนรักชอบตอบใครไม่ระวัง
เมื่อคราวพลั้งพลาดรักหนักเจียนตาย

กระปอมน้อยต้อยต้อยใต่กิ่งไม้
ครั้นพอเราก้าวใกล้ผันผาย
ผงกหัวหงึกหงึกเหมือนท้าทาย
คล้ายคล้ายเหมือนอยากจะลองดี

พอเราเอาจริงกระโจนจาก
วิ่งควากควากเข้าป่าหลบหนี
ครั้นตามไล่ล่าหมายราวี
ตกใจเปลี่ยนสี..หลีกเร้น..อำพรางตัว

วิสัยสัตว์ยังรู้รักชีวิต
มีใครคิดทำลายหมายหัว
ด้วยด้อยทางสู้ยังรู้กลัว
พาตัวหลบซ่อน..พ้นจาก..เภทภัย

แต่มนุษย์ชื่อว่าสุดประเสริฐ
ความล้ำเลิศนี้ควรรักษาไว้
อย่าประมาทพาใครต่อใคร
เจ็บทั้งกายใจ..ไร้ป้องกัน




คิดถึงเธอ



1.ริมหน้าต่าง

ฝนหม่นมืดเมฆหนาบนฟ้ากว้าง
ฉันมองไปอย่างอ้างว้างและเงียบเหงา
ละอองฝนสาดกระเซ็นเย็นลมเล้า
ท่ามเมฆหมอกสีดำเทาอันเหว่ว้า

ความเยียบเย็นและเหน็บหนาวซ้ำเศร้าสร้อย
หวนละห้อยในเล่ห์เสน่หา
ที่พลัดพรากจากไปในกาลเวลา
ร้อยทิวาพันทิวา...ยังคะนึง




2.ในห้อง

เศษกระดาษที่เพียรเขียนครึ่งตระกล้า
ฉันบันทึกถึงเธอว่าฉันคิดถึง
แต่มิอาจแทนรู้สึกที่ตราตรึง
มือฉันจึงบี้...บี้...ขยี้...ทิ้ง

ในห้องที่เหงาเงียบไร้เสียงขับกล่อม
ไม่มีกลิ่นหอมหวลความเพริศพริ้ง
ไม่มีเพื่อนไม่มีใครในความจริง
ฉันพักพิงในความโดดเดี่ยว...และเดียวดาย



3.คิดถึง

ฉันเห็นเธอในความรู้สึกนึกคิด
แต่มืดมิดดวงใจไม่อาจหมาย
รักหนหลังที่มันพังทลาย
เหมือนดั่งปราสาททรายมิคงทน

ใครเจ็บกว่ากัน...ใครกันรู้สึก
ยิ่งรำลึกยิ่งปวดร้าวขึ้นอีกหน
แต่ฉันมิอาจรักใครได้อีกคน
จึงคิดวกวนคร่ำครวญ...ถึงแต่เธอ






4.หักใจ

ฉันไม่อยากมองไกลไปฟากฟ้า
จึงกลับหน้าเข้าห้องคราวหมองเหม่อ
ถึงคิดไขว่คว้าไปอาจไม่เจอ
รักคงเพียงความพร่ำเพ้อของฉันเอง








วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

กลอนเพราะๆ



ก้าวทุกก้าวสาวไปให้สุดถึง
สู่ที่ซึ่งวาดหวังอยู่ข้างหน้า
แม้แวดล้อมเรียงรายเหยียดสายตา
อย่าไปสนหากแม้นกล้าจะฝ่าฟัน

ณ จุดหมายปลายทางนั้นวางรอ
เพียงอย่าท้อหมดไฟความใฝ่ฝัน
ทุกสิ่งอย่างจะสร้างไว้เผื่อใครกัน
มิใช่เพื่อปลุกปั้นฝันเราเอง

เสียงดนตรีปลุกโลมโหมระทึก
สร้างรู้สึกในแรงจิตรให้รีบเร่ง
เพื่อทุกก้าวพร้อมเพรียงในเสียงเพลง
ด้วยความเก่งความกล้ามิล้ารอ

อุปสรรคหนักหนาสักคราครั้ง
นั้นเพียงรั้งรอจิตอย่าคิดท้อ
จงพร้อมพลิกพลาดหมายให้เกิดก่อ
เป็นพลังเติมต่อเพื่อก้าวไป

ทุกแรงหนุนรายล้อมพร้อมด้วยรัก
พึงตระหนักอย่ารวนเรนึกเฉไฉ
เมื่อแสงส่องสู่ทางกระจ่างไกล
มีคุณค่าเหนืออื่นใดในชีวิต

จวบสุดท้ายปลายทางแห่งใฝ่ฝัน
โชคชะตาจริงนั้นใครลิขิตร
เฝ้าโอบอุ้มคุ้มกันอันใกล้ชิด
เพียรครุ่นคิดจะใครเล่า..ตัวเราเอง




....................................................................................................................................................................



เรียนมอหนึ่งได้ที่หนึ่งวิชาคณิต
แต่ไม่คิดว่าแฟนรักจะหักหลัง
ขึ้นมอสองปวดร้าวใจฤทัยพัง
น้ำตาหลั่งเพราะเขาเย้ยคนเคยควง

ขึ้นมอสองประกวดกลอนกลอนสุดซึ้ง
ใครคนหนึ่งเขามีใจให้ห่วงหวง
ได้ที่หนึ่งภาษาไทยชื่นในทรวง
จนเลยล่วงมอสามเธอตามแจ

จบมอต้นเธอจากลาหาเราโง่
อภิโธ่ดวงฤดีต้องมีแผล
ขึ้นมอสี่ไม่มีสาวเหลียวแล
จึงทนเศร้าเป่าแตรไปวันวัน

ขึ้นมอห้าหม่นหมองกระดองจิต
สาวใดเคยใกล้ชิดก็เปลี่ยนผัน
เฝ้าแต่โทษดินฟ้าที่ลงทัณท์
ปล่อยเรานั้นโศกเศร้าเหงาอุรา

ขึ้นมอหกสอบชิงทุนได้เรียนต่อ
แต่ต้องน้ำคลอเพราะห่วงหา
จบมอปลายได้ที่หนึ่งทุกวิชา
กลับต้องหลั่งน้ำตา...เพราะรักเอย










ถึงต้องอยู่ห้องกระท่อมล้อมสังกะสี
ทุกข์มิมีสิ่งใดให้คิดร่ำ
จนแต่ทรัพย์ดอกหนาแต่ว่าคำ
ฉันออกรวยล่ำซำขั้นกวี

ทนเอาห้องแคบๆเข้าแอบพัก
เป็นสำนักกรองสำนวนชวนน้องพี่
มาสืบสานกานต์กลอนโลกไอ-ที
แอบแนบใส่ความหวังดีและจริงใจ

มิหมายคบพบรักสมัครมั่น
เทียบยศชั้นมี-จนเช่นคนไหน
หวังภาษาสื่อศิลปินไทย
เลื่องลือไกลเหมือนหมายจวบวายวาง

จนเข้าขั้นยังดั้นด้นสู้อุตส่าห์
ด้วยใจรักยิ่งหนักหนามิขัดขวาง
ทั้งความรู้ครูมิสอนเพียงเลือนลาง
สู้สุ่มมั่วจนเก่งกว้างทั้งกฎเกณท์

เพียงแต่มุมมองหนึ่่งของความคิด
ใช้เพียงสิทธิ์ประชาชนคนยากเข็ญ
ไม่หวังใดใฝ่สูงพบลมเย็น
เคืองลำเค็ญโปรดอภัย...ได้คิดครวญ









พูดเรื่องหมาเราเองคนยังจนจิต
อยากจะมีคู่คิดนี้สักหน
เมื่อวันก่อนเจอหมาสัปดน
มันวกวนจู๋จี๋...ยี้..กะตา

หมาร้านเจ้ขายของชำตัวดำๆ
กะอีอ้วนขายเครื่องปั๊มน่าอิจฉา
เมียกับผู้อยู่ด้วยกันก็นานมา
เขาบอกว่ามันรักกันเหมือนผัวเมีย

แอบอิจฉามันอยู่ดูสักพัก
มันดันเล่นบทรักให้ดูเสีย
พลอยเพลิดเพลินปากลิ้มก็ชิมเบียร์
น้องอาเฮียมาเจอ..หวา..ไอ้หยามัน...

เราพลางมองพลางใจก็คิดว่า
เขาจะคิดอิจฉามันไหมนั่น
แล้วเผอิญเธอหันมาสบตากัน
เราก็ดันคิดเหมาๆ...เหมือนเราเลย
 





วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บักตู้






                            บักตู้                               
                                                                โดย..รุ่งริ่ง              

ใบไม้เริ่มผลัดใบเมื่อปลายฤดูหนาว ต้นบักงิ้ว(ต้นนุ่น)ที่ขึ้นอยู่รอบบ้านก็เริ่มจับใบเหลืองแล้วร่วงหล่นกรูกราวลงพื้นยามเมื่อลมพัดผ่าน เพียงไม่ถึงเดือนหนึ่งทั้งต้นก็ไม่เหลือใบบนต้นแม้แต่ใบเดียว ปล่อยกิ่งก้านชูไสวไปในอากาศโดยว่างเปล่า และติดดอกสีขาวบานสะพรั่งเต็มต้น ทุกๆเช้าเราจะได้ยินเสียงหึ่งๆของผึ้งมาบินชอนไชดอกช่อเอาน้ำหวานอยู่เวียนวน พร้อมกับกลิ่นไอของหน้าแล้งค่อยๆโชยมาแทบทุกวัน

ผมตอนยังเป็นเด็กเมื่อเห็นผึ้งมากินน้ำหวานดอกบักงิ้ว เป็นจำนวนมาก ก็คาดว่าใกล้ๆบ้านผมจะมีผึ้งมาทำรังซ่อนอยู่ แต่ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ที่แห่งใดเท่านั้น เวลาหลังเลิกโรงเรียนแล้วผมและเพื่อนๆจึงนัดกันเที่ยวตระเวนสอดแนมหาตามก่อไผ่ในสวนหลังบ้านและไกลออกไปเหมือนอย่างนักสำรวจ และผลจากการสำรวจก็พบว่ามีรวงผึ้งอยู่มากมาย ทั้งรวงน้อยรวงใหญ่(รวงเล็กๆเราเรียกว่ามิ้ม) ตามกอไผ่บ้านที่รกและมีหนาม แต่ยากที่จะทำการตีเอารวง สิ่งที่พวกผมทำได้เมื่อพบรวงใหญ่ๆที่คาดว่าน่าจะมีน้ำหวานเป็นจำนวนมาก พวกผมก็จะชวนกันไปดู แล้วพูดพลางน้ำลายไหลว่า

“กูอยากกินมึงหลายเด้...ฮังเผิ่งเอ๋ย”

พวกเราหาที่อื่นๆอีกก็ไม่พบที่ที่จะสามารถตีเอารวงได้ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ที่กลางกอ ถ้าจะบุกเข้าไปตีเอารวงก็คงต้องโค่นกอไผ่ลงทั้งกอ แต่ก็อาจจะมีที่ง่ายๆกว่านั้น เพียงแต่ว่าหามันไม่เจอเท่านั้น

เมื่อสมัยผมตอนเป็นเด็ก พอที่จะรู้ประสีประสาแล้วนั้น เวลาที่ว่างๆ ก็ใช่ว่าจะเอาแต่เล่นอย่างเดียวแต่เรายังถูกสอนให้เป็นพราน เป็นนักล่า พวกเรามีอาวุธประจำกายพกติดตัวกันแทบทุกคนคือหนังสะติ๊กและสัญชาตญาญของพรานตัวน้อยๆ บางคนเก่งพอที่จะรู้ว่า ที่เรือกสวนไร่นา ในป่า ห้วยน้ำ ลำคลอง มีสัตว์น้อยใหญ่พืชพันธ์ธัญญาหารสิ่งใดสมบูรณ์บ้าง เมื่อคราวต้องการซึ่งสิ่งนั้นก็จะหาได้โดยง่าย และที่เก่งขนาดนั้นก็เพราะว่าวันๆเที่ยวหาแต่ของกิน จนกลายเป็นผู้ชำนาญพรานตัวเล็กๆ บางคนรู้กระทั่งว่านกจะนอนคอนที่ไหน นกอะไร มีทั้งหมดกี่ตัว กบ กุ้งหอย ปูปลา หรือสัตว์อื่นๆมีสัณฐานที่อยู่เป็นอย่างไรบ้างจากการสังเกตุ และคนที่เก่งที่สุดในกลุ่มของพวกผมละแวกบ้านใกล้กันนั้น ก็ไม่มีใครเก่งเกินบักตู้แม้แต่คนเดียว มันแก่กว่าผมสองปีและพึ่งย้ายบ้านจากหัวไร่ปลายนามาซื้อบ้านของพวกผมอยู่ บ้านมันอยู่ติดกับบ้านผมนี่เอง
วันหนึ่งเป็นวันหยุด ผมไม่ได้ไปเลี้ยงควายผลัดกับพี่สาวว่าพรุ่งนี้จึงจะเป็นคิว ผมเลยมีเวลาว่างมาเล่นเป่ายางกับเพื่อนๆ กำลังสนุกสนานกันอยู่บักตู้ก็โผล่หน้าเข้ามาและพูดกับพวกเราทุกคนอย่างยิ้มแย้มว่า

“พวกสูอยากกินฮังมิ้มบ่” มันถาม

พวกผมกำลังเล่นกันอยู่สนุกๆ ก็หยุดกันกึก และหันมาฟังมันกันทุกคนบักสมิงบอกก่อนทุกคนเลยว่าอยาก แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ตั้งคำถามกันใหญ่ว่า แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ บักตู้ยิ้ม รอยยิ้มมันแลดูน่าเกลียดและบอกให้พวกผมตามมันไป

หลังเขตุแดนบ้านผมกับบ้านบักตู้นั้นติดกับสวนลุงเป มีพืชสวนมากมายที่แกปลูกไว้ ไม่ว่าจะเป็นกล้วย มะพร้าว มะม่วง พุทรา ฝรั่ง รวมทั้งผักสวนครัวจำพวกข่าตะไคร้ขึ้นแน่นหนา แต่แกไม่เคยสนใจมาถากถางดูแลมันจึงรก ต้นสาบและวัชพืชน้อยใหญ่จึงเกิดคลุมรกไปหมด บักตู้พาพวกผมไปที่พุ่มสาบเสือพุ่มหนาพุ่มหนึ่ง ต้นมันเฉาตายไม่เหลือสีเขียวแล้วแม้แต่นิด จากนั้นมันจึงแหวกให้เราดูว่าข้างในนั้นมีรังมิ้มอยู่รังหนึ่งขนาดใหญ่พอควร แต่ที่น่าแปลกก็คือรังมิ้มรังนั้น อยู่หลังต้นกล้วยเขตุแดนสวนลุงเปติดกับบ้านผม พวกผมผ่านไปผ่านมาในละแวกนั้นตั้งแต่มันยังเขียวๆอยู่หน่อย แต่ไม่มีใครสังเกตว่ามีรังมิ้มอยู่ในนั้นเลย พวกผมสามสี่คนจึงมองมามองที่บักตู้ด้วยสายตาที่ราวกับว่าเห็นเทวดา จากนั้นจึงตกลงกันว่าเราจะทำอย่างไรกันดีถึงจะได้กินมิ้มรังนี้เสียที จนบักตู้เองนั่นแหละเป็นคนจัดแจง จึงมีเค้าว่า เราจะได้กินรวงมิ้ม

“บักแข่นมึงไปเอามีด บักหมิงไปเอายาเส้นกับไม้ขีด บักแหล่กับบักสมดีไปเอาก้านบักหุ่ง(ก้านมะละกอ)ไปเร็วๆ ถ้าพวกสูอยากกินไวๆ” บักตู้บอก

เมื่อทุกอย่างพร้อมบักตู้ก็จัดการมวนยาเส้นแล้วเสร็จก็สั่งพวกผมถอยให้ไกลถ้ากลัวโดนมิ้มต่อย แต่ถ้าไม่กลัว จะมาช่วยมันก็บอกว่าเข้ามาเลย พอพวกผมถามกลับ แล้วมึงบ่กลัวหรือ มับตอบว่า

“กูบ่กลัวดอกแค่พวกแมงวัน” มันตอบยิ้มๆ

บักตู้จุดยาเส้นจนติดควันฉุยแล้วจึงเสียบก้นเข้าทีก้านมะละกอก้านยาวก้านหนึ่งมีรูกรวงตลอดลำ แล้วเสียบก้านที่ใหญ่กว่าทับด้านที่มียาเส้นติดอยู่ จากนั้นก็เป่า  ที่ปลายก้านมะละกออีกด้านหนึ่งจะเกิดควันบุหรี่โพยพุ่งออกมา จากนั้นก็นำไปจ่อที่รังมิ้ม ตัวมิ้มที่เกาะรังอยู่เมื่อโดนควันบยาเส้นก็จะเมายาและร่วงจากรัง ตัวที่บินได้ก็เป็นจำนวนน้อย หมดยาเส้นมวนหนึ่งจึงเสียบต่ออีกมวนหนึ่ง บักตู้รมมิ้มควันจนได้ที่จึงเอามีดตัดต้นสาบเสือแหวกออก ตัดเอามิ้มรวงใหญ่สีหลืองเดินออกมา พวกเราพากันดีใจเพราะจะได้กินรังมิ้ม บักตู้บอกให้พวกผมช่วยกันก่อไฟ จนเป็นถ่านแดงคุกล้า จึงเอาส่วนรังผึ้งที่เป็นตัวอ่อนไปย่างบนไฟ ส่วนที่เป็นน้ำหวานนั้นนำไปบีบคั้นจนเหลือแต่น้ำ ได้น้ำหวานเต็มหนึ่งถ้วยกะแป๋งใหญ่

วันนั้นผมและเพื่อนๆ ได้กินรวงผึ้งกับน้ำหวานแสนเอร็ดอร่อย ต่างก็ชมบักตู้ว่าเก่ง บางคนยอมเรียกบักตู้ ว่า” อ้ายตู้”ก็ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

อยู่บ้านฟังฟ้าฝนคำรนร้อง
คิดถึงน้องนวลนางพลางหวั่นไหว
จำห่างเหเรรวนมาด่วนไกล
คิดถึงสาวบ้านกลอนไทยไม่เว้นวาง

เฝ้าหลบซุ่มพุ่มพงเพราะหลงผิด
คำลิขิตคิดไปใจบาดหมาง
ตามอารมณ์ตรมตรอมที่ล้อมลาม
แต่ซ่อนความจริงจิตให้คิดครวญ

เราเขียนไปยิ้มไปแม้ใครอ่าน
เกิดทรมานเรานี้ที่คิดหวน
จึงทั้งหลายในอารมณ์ไม่สมควร
จนอยากม้วนเสื่อหนีมิหวนคืน

แต่เอาเถอะดั่งขงเบ้งกับจิวยี่
เมื่อสุดท้ายไม่ปรานีสุดขัดขืน
จิวยี่อ่านสาล์นสิ้นก็ล้มครืน
อย่างมิอาจหยัดยืนอยู่อย่างเป็น

อ่านตำราสอนใจให้รู้ว่า
ผู้ชอบกำลังเข้าบีฑาจไม่คิดเห็น
ผู้ปัญญากว้างไกลไม่ลำเค็ญ
ยังชื่นเช่นสืบมาแต่ช้านาน

เหมือนขงเบ้งกับจิวยี่นั้นฉันใด
จงกว้างไกลบ้างหนาปัญญาท่าน
ท้ายที่สุดจุดหมายไม่ยืนนาน
เหมือนตำราเหมือนนิทานเช่นนั้นเอย

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

ผัดผักบุ้ง

มิอาจหมายหมิ่นค่าว่าผักบุ้ง
อยู่กลางทุ่งคุ้งคลองจึงมองหา
ได้สูตรใหม่ผัดกะปิรีบรี่มา
หวังยอดงามถึงตามหาในคูคลอง

ในตลาดหนึ่งกำนั้นแพงลิบ
กำละสิบเชียวจนคิดหม่นหมอง
ต่อสองกำมิหนำใจเหมือนหมายปอง
จะลิ้มลองผัดกะปิที่โอชา

ปลิดใบออกลอกต้นเหมือนเส้นหมี่
ตามวิธีเร็วไวผัดไฟหนา
ใส่เนื้อหน่อยอร่อยจังแล้วยกมา
เส้นอ่อนอ่อนงามตาทั้งน่ากิน..

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

เหมือนทุกสิ่ง



เหมือนทุกสิ่งสิ้นเสร็จสำเร็จแล้ว
เราจึงแคล้วคลาดกันพาขวัญหาย
เมื่อชนเผ่าติวตอหนิกได้กร้ำกราย
พากองทัพอันดุร้ายเข้ายึดเมือง

เหตุและผลมันแต่งเข้าแสร้งชัก
กำหนดหลักด้วยตัวตูผู้ปราดเปรื่อง
เราเหมือนชาวโรมันเคยรุ่งเรือง
มาขุ่นเคืองคับข้องหม่นหมองใจ

การสงครามเพิ่งเริ่มต้นมิได้จบ
ซึ่งการรบจากนี้มีภาคใหม่
คนอยู่เมืองต้องเข้าป่าแสนอาลัย
คนอยู่ไพรเข้าครองเมืองด้วยอำนาจ



ในบางครั้ง



1.ในจอ

ยิ้มทุกคราเวลาออนทนนอนดึก
ใส่อารมณ์ความรู้สึกในอักษร
อ่านความคิดของหลายใครในบทกลอน
บางครั้งก็เหนื่อยอ่อนแต่เข้าใจ

มีบางเรื่องที่เรานั้นพอรู้
จึงรี่กดตอบกระทู้พร้อมคำไข
หวังว่าเพื่อนผู้ขุ่นข้องหม่นหมองใจ
คงสว่างทางไกลอันมืดมน

ไม่หวังตอบขอบคุณเฝ้าครุ่นคิด
หรือยึดติดสิ่งใดจะหวังผล
เราคือเพื่อนในจอรออดทน
ประจวบจนถึงเวลาก็มาออ




2.หลังจอ

ไม่รู้ใครมาจากไหน..ผมไม่รู้
บ้างก็มาดคุณครูคอยสั่งสอน
บ้างนางเอกเล่นบทกำหนดตอน
อ้อนพระเอกอย่างละครในทีวี

บ้างเจ้านายใหญ่โตทำโก้อวด
บ้างอย่างพระนั่งสวดไปทุกที่
บ้างเหรอหราท่าทางเหมือนนางชี
บ้างผู้ดีบ้างผู้ร้ายหลากหลายกรรม

อันจะรัก..รักใครชั่งใจอยู่
เพราะมิรู้หนแห่งกลัวเพลี่ยงพล้ำ
จากคำหวานกระดานกลอนออดอ้อนนำ
จึงพอฉ่ำชื่นจิตที่คิดไป




3.นักกลอน

ประเพณีโบราณเนิ่นนานแล้ว
กวีแก้วและเสียงกรับมิหลับไหล
เคยขับขานนานเนามาเท่าใด
จะคงอยู่ต่อไปเป็นนิรันดร์

ไม่สำคัญอันผืนแผ่นดินเกิด
ชาติตระกูลจะล้ำเลิศอันใดนั้น
สำคัญอยู่ที่หัวใจเราใกล้กัน
การสื่อสารที่สัมพันธ์เป็นกวี

ความดี-ด้อย-โดดเด่นคือคุณค่า
นั้นนำมาฝากไว้ ณ แห่งนี้
สื่อความรัก ความจริงใจ และความดี
ก่อไมตรีอีกนับร้อยด้วยถ้อยคำ


4. ไม่เข้าใจ

ในบางครั้งไม่แคล้วพบมนุษย์หนึ่ง
ผู้ไม่เคยลึกซึ้งก็น่าขำ
จะให้เปิดเผยใจในสื่อนำ
ไม่อาจทำเพื่อเคล็ดลับนั้นกับใคร

ธรรมดาอารมณ์เหนือความคิด
จะเอนเอียงน้อยนิดกันแค่ไหน
หนุ่มหรือแก่การตอบรับเช่นกลไก
จนสามารถคำนวนได้ไม่ยากเลย




5. ความจริง

อ่านและเขียนเรียนไปไม่หยุดหย่อน
ในอักษรต่างใจไว้เปิดเผย
เผื่อบรรดาท่านการุณเมื่อคุ้นเคย
ถึงจะเอ่ยรักนี้ที่เก็บงำ

ใครเดียจฉัน..นั้นก็ไม่ขอรัก
ร่วมสำนักแห่งใดไม่เหยีบย่ำ
ใครมีคุณจะแทนทดเฝ้าจดจำ
ดั่งน้ำคำนี้หนอมิขอลืม

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

โชคดี

อยากบอกลาอาลัยไม่ย้อนคิด
ทวงถามสิทธิ์ใดใดในหนหลัง
(หรือ)หลั่งน้ำตาอาลัยใจพังพัง
อย่างจริงจังออดอ้อนวิงวอนใคร

ก็เพราะฉันไม่คิดสักนิดว่า
จะถึงคราโศกเศร้าเขาผลักไส
เพราะเหตุผลบางอย่างระหว่างใจ
ที่สร้างให้ทบทวนใคร่ครวญความ

เพียงเพราะเธอมิลึกซึังถึงคุณค่า
จึงจะลาจากไกลไร้คำถาม
อาจตัวฉันลึกลับไม่วับวาม
ดั่งดาวงามดั่งดวงจันทร์ในวันเพ็ญ

จึงมิอาจฉุดรั้งในครั้งนี้
มองคนดีจากไกลไม่พบเห็น
จงโชคดีเถิดหนาอย่าลำเค็ญ
และไปเป็นดาวดวงใหม่..ใครสักคน


วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

สักวา



สักวาเพลิดเพลินมาเหินห่าง
เมื่อน้องนางเรรวนมาด่วนหนี
ปล่อยพี่เหงาเศร้าซมตรมทวี
โอ้คนดีหลีกเร้นไม่เห็นกัน

ธรรมดาป่าเปลี่ยวไปเดี่ยวโดด
ผ่านเขตุโขดหินละหานจนผ่านผัน
ครั้นงูใหญ่กราดเกรี้ยวมาเอี้ยวพัน
หวังใครกันเข้ากอบกู้เป็นคู่เอย


สักวาความจนสร้างหม่นหมอง
สาวจึงมองเหมือนหมาน้ำตาไหล
อยู่บ้านนอกขอกนาป่าพงไพร
ห่างกลิ่นไอแอร์อวลน่าชวนชม

มีแต่กลิ่นสาบควายอุ่นไอดิน
วานยุพินนวลน้องอย่าขื่นขม
เอกลักษณ์ในตัวพี่ไม่นิยม
ไปหลงลมเยินยอมิพอเอย


สักวารวมหัวฮั้วกันเก่ง
ยอกันเองอย่างนี้ดีหนักหนา
สามสี่หัวยอกันไปยอกันมา
ปล่อยให้คนร้อยกว่าพากันงง

อยากจะร่วมวงสร้างสรรการฮั้ว
นั่นแสนชัวร์เสกได้ดังประสงค์
ด้วยโดดเดี่ยวเปลี่ยวใจใสซื่อตรง
วอนอนงค์รับพี่นี้เถิดเอย


สักวาเปิดใจให้กว้างหน่อย
ดีกว่าคอยคิดแคบเข้าแอบแฝง
ในมุมมืดจ้องจับผิดคิดสำแดง
เข้าเสแสร้งหวังให้ตัวได้ดี

เหมือนฆ่าช้างหวังงาชั่วช้านัก
โปรดตระหนักเถิดท่านประการนี้
การละอายแก่ใจนั้นเข้าที
ลักษณะของผู้ดี..คนดีเอย

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

คือความหวังฝังใจ

แปลงบานชื่นมากหมู่มวลผีเสื้อ
ซุ่มหลบเพื่อจ้องจับนับตัวหนอ
ได้ใส่ถุงอวดความงามละออ
เจอตัวต่อต้องหลีกถอยมันต่อยตาย

อีกถุงยางข้างหนึ่งใส่จิ้งหรีด
มันร้องกรีดแข่งกันมันชิบหาย
ได้เวลาท้าดวนกันวุ่นวาย
สองเท้าหงายเป็นล่องลู่เฝ้ายุมัน

เมื่อร้องกรีดปีกสะบัดชัดว่ารู้
การต่อสู้เท้าจึงถอยออกปล่อยหัน
เอากระป๋องคลอบล้อมอ้อมพวกมัน
เฝ้ากัดกันถอยรุกบ้างการตั้งตัว

จนเขี้ยวหลุดปีกหลุดกัดสุดยอด
ตัวถอยถอดเพราะเจ็บกายให้ขำหัว
ไอ้ขี้แพ้แม้ขังยังอีกตัว
เอาไปคั่วเสียเถิดนะอย่ารอรี

ลำนำชีวิต

ณ แวดล้อมไออุ่นธรรมชาติ
ฟ้าปรอดปร่งอากาสสดใส
ทุ่งนาป่ากว้างมวลพฤกไพร
ยามห่างร้างไกล..เฝ้าคิด..คอยคนึง

มิลืมถิ่นแผ่นดินที่แสนรัก
แต่จากไปอาลัยนัก..เฝ้าคิดถึง
ภาพอดีตเก่าหลังยังคงติดตรึง
เพราะจนจำจากพรากเรือนเหย้า

สุดสายตาฟ้ากั้นไกลนั่น
ดั่งแต่งแต้มเขตุขั้นขุนเขา
แลรูปลักษณ์คลับคล้ายเพียงเงา
ของเจ้าไดโนเสา..สัตว์โลกล้านปี
เจื้อยแจ้วแว่วเสียงมวลหมู่นก
ถลาร้องป้องปกคู่นี้
สะท้อนหนึ่งแห่งห้วงฤดี
ต่างแต่เราที่...ไร้สิ้น..คนผูกพัน

มะม่วงออกดอกช่อเริ่มติดผล
จวนจะพ้นผ่านฤดูสู่คิมหันต์
โอ้ปีลับเดือนลาทีละวัน
สำรวจตัวนั้น..มิเปลี่ยนแท้..ดั่งเดิม

พวกเพื่อนบ้านต่างแต่รวยร่ำ
รายได้เป็นกอบกำพูนเพิ่ม
สร้างเรือนสร้างหอออกต่อเติม
ดูดีกว่าก่อนเดิม..แห่งนี้..เป็นมา

รถรามีไว้ขี่เพียบพร้อม
เราเล่าคงแต่น้อมนึกหา
ต้อยต่ำบ่เทียมคนยามไปมา
ได้พึ่งเพียงสองขา..ลำแข้ง..เคียงเดิน

คงทนคือความจนบ่ห่อนหาย
เหลือละอายไร้สิ้นที่สรรเสริญ
โชคชะตาตกต่ำทางเจริญ
มวลหมู่หมางเมิน..เมื่อคราว..เข็ญใจ

ลมพัดใบไม้ปลิวละลิ่วล่อง
กิ่งก้านครางลมต้องเอนไหวไหว
เหมือนดั่งความซื่อในจิตใจ
มักเกิดอ่อนไหว..เมื่อต้อง..ลมลวง


ผึ้งหึ่งหึ่งบินชมช่อไม้
ซุกตัวเข้าคลั่งไคล้ห่วงหวง
วันวันเทียวหาบุปผาทั้งปวง
เหมือนคนห่วงหน้าที่งานกระทำ

เรานี่นึกนึกน่าอายผึ้ง
บ่มีเลยสักที่หนึ่งเลอล้ำ
อยู่ไหนครองตนจนระกำ
ทุกข์ซ้ำทำเดือดร้อนมิผ่อนคลาย

อยู่ไกลริบหรี่ความใฝ่ฝัน
ยากดั้นด้นไปสู่จุดมุ่งหมาย
ยามเหนื่อยอ่อนล้าทั้งใจกาย
รุมสุมฟูมฟาย..ไม่เห็น..แห่งพึ่งพิง



วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

อีกรูป



แฟนอีสุ

รักอยู่หนใด




รักอยู่ในสายลมที่พรมพัด
อยู่ในความเงียบสงัดของวันเหงา
ในสายน้ำเปี่ยมปริ่มงามพริ้มเพรา
ใต้แสงเศร้าเงาจันทร์คืนฝันใฝ่

และฉันคือตัวแทนแสนคำรัก
จงตระหนักเถิดนั่นหยุดหวั่นไหว
จะขอเป็นเพื่อนเหงาวันเศร้าใจ
มอบอุ่นไอรักละมุนมิเสื่อมคลาย




ก้าวหน้า




ขอก้าวไกลด้วยใจมั่นของชีวิต
คนลิขิตคือตัวข้าไม่ช้าเฉย
สิ่งดีๆมากมายสบายเสบย
หรือมาเกยคนรอท้อระทม

ขืนพัวพันเพราะพันผูกผู้ท้อถอย
คงเศร้าสร้อยสาใจไร้สุขสม
ขอก้าวฝ่าดวงใจทุกข์ปลุกความตรม
หยุดนิยมเยินยอเพื่อรอใคร




รูปคนแถวบ้าน

คนนี้อีสุ ตอนนี้มันอยู่ใต้หวัน แอบชอบมันและคิดว่ามันเป็นแฟนผม สักวันหนึ่งเราจะแต่งงานกัน
ส่วนคนนี้อีแก้วตา..หลาน
นี่พี่สาวกับแม่ผมเอง..จาเจ็ดสิบแล้ว
เด็กผู้ขายคนกลาง ตกน้ำตายปีที่แล้วนี่เอง ผมเป็นคนลงไปควานหาตัวในน้ำ จากคำบอกเล่าของพวกเด็กๆเพื่อนของมัน แต่สิ่งที่ผมได้ขึ้นมาจากในน้ำคือ ร่างที่ไร้วิญญาญ แบกขึ้นรถส่งอนามัย..ชื่อมันบักดอย ไปสวรรค์นะไอ้ดอย
คนรูปหล่อนี้คือคนเขียนบล๊อกนี่แหละ ถ่ายด้วยยโทรศัพย์มือถือเมื่อปีที่แล้ว..เอ่อ..สองปีที่แล้ว ตอนนั้นทำงานที่พหลโยทิน ข้างๆช่อง5 
ส่วนตัวนี้ชื่อฮันนี่ จิตใจมนุษย์ภายใต้ร่างของสุนัข
เพื่อนร่วมงานที่เจ้ากี้เจ้าการ
นาตอนข้าวเขียว
ถ่ายจากหน้าจอ รองแชมป์ฟุตบอลโลก